7 จุด เช็กรถมือสองให้ได้ของดี ดูอย่างไร?

7 จุด เช็กรถมือสองให้ได้ของดี ดูอย่างไร?

อยากซื้อรถมือสองสักคันแต่ไม่รู้ว่าต้องเลือกซื้ออย่างไร ถึงจะได้รถคุณภาพดีปลอดภัยพร้อมใช้งาน วันนี้เงินเทอร์โบสรุปเทคนิกการดูรถยนต์มือสองด้วยตัวเองมาให้เพื่อนๆ แล้วค่ะ ต้องดูอย่างไร เช็กอะไรบ้าง ไปดูกันเลย

1. สภาพภายนอก

ตรวจสอบสภาพภายนอกของตัวรถโดยรวม ไม่ว่าจะเป็นรูปทรงของตัวรถว่ามีความบิดเบี้ยว มีรอยเฉี่ยวชน มีรอยบุบ มีสนิม มีการปรับเปลี่ยนชิ้นส่วนอุปกรณ์ต่างๆ หรือไม่ และดูว่ามีการทำสีรถมาใหม่หรือไม่ โดยการใช้มือเคาะเบาๆ เพื่อฟังเสียงถ้าไม่ได้ทำสีมาจะมีเสียงออกโปร่งๆ แต่หากโป๊วหรือทำสีมาใหม่เสียงจะออกทึบๆ หรือสังเกตความสม่ำเสมอของเนื้อสีตลอดทั้งตัวรถ

2. ปีรถและเลขไมล์

การดูปีรถควรดูจากปีที่ผลิต ไม่ใช่ปีที่จดทะเบียน เพราะหากเราดูจากปีที่ผลิตจะทำให้ทราบอายุการใช้งานของรถได้แม่นยำกว่า เพื่อสามารถประเมินสภาพคร่าวๆ ของรถได้ และเมื่อทราบปีของรถแล้วให้เราดูเลขไมล์(ระยะทางที่วิ่งมาทั้งหมด) โดยเฉลี่ยแล้วระยะทางต่ออายุการใช้งาน 1 ปี จะอยู่ที่ประมาณ 20,000-30,000 กม./ปี ดังนั้นหากเลขไมล์มีความใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยแปลว่าการใช้งานของรถคันนั้นอยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่ถ้ามากกว่าอาจถูกใช้งานมามากกว่าปกติหรือถ้าน้อยกว่าก็อาจถูกใช้งานมาน้อยกว่าปกติ แต่ถ้าเลขไมล์น้อยจนผิดสังเกตรถคันนั้นอาจถูกกรอเลขไมล์มาใหม่ได้ (ปรับแต่งเลขไมล์ให้น้อยลงจากความเป็นจริง)

3. การดูรอยอาร์คหรือรอยเชื่อมจากโรงงาน

การดูรอยอาร์ค จะทำให้เราทราบได้ว่ารถคันนั้นผ่านการชนหนักมาหรือไม่ โดยเราสามารถเจอรอยอาร์คได้ทั้งด้านหน้าที่ห้องเครื่องและด้านหลังที่ฝากระโปรง ซึ่งจะมีรอยอาร์คเป็นรอยนูน อยู่ในตำแหน่งที่ตรงกัน และสำหรับด้านข้างจะอยู่ที่ประตู วิธีดูคือให้เราดึงยางขอบประตูออก ตรงขอบจะมีรอยบุ๋มกลมๆ เป็นเม็ดรอบขอบประตูโดยดูให้ครบทั้ง 4 ประตู หากตรงไหนไม่มีรอยแสดงว่าตรงช่วงนั้นผ่านการชนมา

4. สภาพภายใน

ตรวจสอบภายในอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ ว่าสามารถทำงานได้ดีหรือไม่ เช่น แอร์ เมื่อเปิดแรงสุดมีกลิ่นเหม็นไหม้หรือสามารถทำความเย็นได้อยู่หรือไม่ ระบบกระจก เครื่องเสียง ระบบการเปิดไฟเลี้ยว ไฟหน้า ไฟฉุกเฉินและแตรสามารถใช้งานได้ปกติหรือไม่ ตลอดจนการตรวจสอบห้องโดยสารว่าสภาพยังดีหรือไม่ มีกลิ่นอับชื้นหรือไม่ หากมีกลิ่นอับชื้นหรือเชื้อราอาจแปลว่ารถคันนั้นเคยผ่านการโดนน้ำท่วมมาแล้ว

5. เครื่องยนต์

ตรวจเช็กสภาพเครื่องยนต์ โดยการสตาร์ตเครื่องยนต์แล้วฟังเสียงว่ามีเสียงอะไรผิดปกติหรือไม่ และให้ติดเครื่องไว้อย่างน้อย 15 นาที เพื่อดูและฟังต่อว่าเครื่องยนต์มีความนิ่งหรือไม่ เกจ์วัดความร้อนขึ้นสูงผิดปกติหรือไม่ มีไฟแจ้งเตือนอะไรขึ้นบนจอแสดงผลหรือไม่ ตลอดจนการดมกลิ่นการทำงานของเครื่องยนต์ว่ามีกลิ่นไหม้หรือกลิ่นน้ำมันที่มีความผิดปกติหรือไม่ หากเช็กแล้วว่าไม่มีอะไรผิดปกติให้ดับเครื่องจากนั้นเช็กสภาพสายพาน แบตเตอรี่ ขั้วแบตเตอรี่ ระดับของเหลวต่างๆ และตรวจสอบว่าไม่มีคราบน้ำมันรั่วซึมออกมา

6. ทดลองขับ

ทดลองขับจริงเพื่อทดสอบระบบเบรกว่าสามารถใช้งานได้ดีหรือไม่ ระบบเกียร์สามารถเปลี่ยนได้ตามรอบหรือมีเสียงหอนออกมาหรือไม่ และในส่วนของช่วงล่างเวลาขับมีเสียงอะไรดังหรือไม่ ระบบโช้กเป็นอย่างไรแข็งเกินไปหรือสามารถรับแรงกระแทกได้ดีหรือไม่ และควรลองปล่อยพวงมาลัย 2-3 วินาที หากปล่อยแล้วรถเอียงซ้ายหรือขวาแปลว่าศูนย์ของรถไม่ตรง

7. เอกสารประจำรถ

7.1 ตรวจสอบเลขตัวถังและเลขเครื่องยนต์ ว่าตรงกับในเล่มทะเบียนรถหรือไม่
7.2 ตรวจสอบผู้ถือกรรมสิทธิ์ ว่าเปลี่ยนมาแล้วกี่คน เจ้าของล่าสุดชื่อตรงกับบัตรประชาชนหรือไม่ เพื่อเช็กว่ารถไม่ได้ถูกสวมรอยจากคนอื่น
7.3 ตรวจสอบการเสียภาษี ว่าเสียภาษีทุกปีหรือไม่ และเทคนิคการดูอีกอย่างคือ ดูสีหมึกกับระยะบรรทัด เล่มจริงจะไม่เท่ากัน ถ้าเท่ากันมีโอกาสที่จะเป็นเล่มปลอมได้
7.4 ตรวจสอบรายการบันทึกของเจ้าหน้าที่ ว่ามีการปรับเปลี่ยนซ่อมแซมอะไรหรือไม่ และหากมีตราประทับว่า “ออกแทนเล่มสูญหาย” ให้ระวังว่าอาจมีการปลอมแปลงเล่มได้ให้เช็กข้อมูลให้ชัวร์

หากเพื่อนๆ เช็กรถมือสองที่อยากจะซื้อด้วยตัวเองครบทุกข้อด้านบนแล้ว แต่ก็ยังไม่กล้าตัดสินใจเพื่อนๆ สามารถหาคนที่มีประสบการณ์หรือมีความเชี่ยวชาญในการดูรถมือสองให้มาช่วยดูให้เพื่อความมั่นใจก็ได้นะคะ