ไม่ว่าจะเดินไปทางไหนในแหล่งชุมชน หน้าตลาด หรือใต้หอพัก เชื่อว่าเพื่อนๆ หลายคนต้องเคยเห็นร้านที่ติดป้ายติดอย่างโดดเด่นว่า “ทุกอย่าง 20 บาท” จนชินตา และสำหรับเพื่อนๆ ที่กำลังมองหาลู่ทางทำธุรกิจของตัวเองสักอย่าง พอเห็นร้านแบบนี้ที่ดูเหมือนจะขายง่าย ขายดี มีคนเข้าออกตลอดทั้งวัน ก็คงอดคิดไม่ได้ว่า... “ขายของถูกขนาดนี้ เขาเอากำไรมาจากไหนกันนะ?” “แล้วถ้าเราจะเปิดร้านแบบนี้บ้างล่ะ จะคุ้มไหม?” และที่สำคัญที่สุดคือ “เปิดร้านทุกอย่าง 20 ต้องใช้เงินลงทุนเท่าไร?” บทความนี้จะมาตอบทุกข้อสงสัยให้เพื่อนๆ ได้เห็นภาพกันชัดๆ ไปเลยค่ะว่าร้านทุกอย่าง 20 บาทเป็นธุรกิจที่น่าลงทุนจริงไหม หรือเอาเงินไปทำอย่างอื่นดีกว่า
ขอตอบแบบฟันธงตรงนี้เลยค่ะว่า “ได้กำไรจริง” แต่…ก็ต้องรู้จักการบริหารให้ถูกวิธีค่ะ เพราะหัวใจของร้านทุกอย่าง 20 บาทมีแค่ 2 อย่างสั้นๆ เลยค่ะ คือ “ต้องซื้อของเข้าร้านในราคาถูก และต้องขายออกให้ไว ไม่ปล่อยให้ทุนจมนาน”
พูดง่ายๆ คือร้านต้องหาแหล่งซื้อของที่ต้นทุนต่ำมากๆ และต้องขายของออกไปให้เร็วที่สุดค่ะ ธุรกิจนี้เขาไม่เน้นกำไรต่อชิ้นเยอะๆ ค่ะ แต่เขาเน้น “ขายเยอะชิ้น” เอากำไรน้อยๆ แต่รวมกันหลายๆ ชิ้น ก็จะเป็นเงินก้อนโตได้เหมือนกันค่ะ
เพื่อนๆ รู้ไหมคะว่าของที่ขายในราคา 20 บาทเนี่ย ต้นทุนจริงๆ ที่ร้านรับมาจะอยู่ที่ประมาณ 10-16.25 บาทต่อชิ้นค่ะ หรือบางอย่างอาจจะแค่ 8-9 บาทด้วยซ้ำถ้าสั่งตรงจากโรงงานหรือนำเข้าเองทีละเยอะๆ ทีนี้พอเรานำมาขายชิ้นละ 20 บาท (รวม VAT แล้ว) ก็จะทำให้ร้านมีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ประมาณ 4-10 บาทต่อชิ้น หรือคิดเป็น 30-50% ของราคาขายเลยทีเดียว แต่เดี๋ยวก่อน! อย่าเพิ่งดีใจว่ากำไรตั้ง 50% นะคะ เพราะกำไร 4-10 บาทที่ว่านี้คือ "กำไรขั้นต้น" (Gross Profit) ค่ะเพื่อนๆ ยังมีต้นทุนส่วนอื่นอีกมากมายที่ยังไม่ได้นำมาคำนวณด้วย เช่น
ดังนั้น กำไรสุทธิ (Net Profit) หรือเงินที่เข้ากระเป๋าเราจริงๆ อาจจะเหลือน้อยกว่านี้อีกค่ะ นี่แหละคือเหตุผลว่าทำไมร้านต้อง “ลงทุนซื้อของเข้าร้านแล้วต้องขายออกให้ไว” เพราะถ้าของกองอยู่ในสต๊อกนานๆ ขายไม่ออก นั่นคือเงินต้นทุนของเราที่จมลงไป ไม่ได้เป็นกำไรคืนมา แถมยังมีรายจ่ายอย่างค่าเช่าที่ต้องจ่ายทุกเดือนอีกค่ะ
สำหรับเพื่อนๆ ที่สนใจธุรกิจนี้ แต่ยังไม่มีข้อมูลว่าการเปิดร้านทุกอย่าง 20 ต้องใช้เงินลงทุนเท่าไร? มาค่ะ หัวข้อนี้มีข้อมูลมาบอก โดยขอแบ่งการลงทุนร้านทุกอย่าง 20 บาท ออกเป็น 2 ทางเลือกหลักๆ เพื่อความง่ายในการอธิบาย ดังนี้ค่ะ
แบบนี้คือเราลุยเองหมดทุกอย่าง ตั้งแต่หาทำเล หาซัพพลายเออร์ แต่งร้านเอง ข้อดีคือเราเป็นนายตัวเอง 100% แต่ก็จะเหนื่อยหน่อยค่ะ โดยเงินลงทุนจะแบ่งเป็นก้อนใหญ่ๆ เช่น
สรุปยอดลงทุนร้านทุกอย่าง 20 บาท แบบเปิดเองคร่าวๆ จะอยู่ที่ประม าณ 180,000-470,000 บาทค่ะ (บวกลบขึ้นอยู่กับขนาดร้านและทำเลที่เพื่อนๆ เลือกนะคะ)
แบบที่สองคือการซื้อแฟรนไชส์ค่ะ ก็จะดูสบายขึ้นมาหน่อยในช่วงเริ่มต้น เพราะเขามีชื่อแบรนด์ให้ มีระบบจัดการมาให้ พร้อมเป็นซัพพลายเออร์ให้เสร็จสรรพค่ะ
แต่ต้องดอกจันตัวโตๆ 100 ดอกเลยนะคะเพื่อนๆ ว่าเงินก้อน 2-5 แสนที่เราเห็นเนี่ย ส่วนใหญ่ยัง "ไม่รวม" ค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่อีก 2-3 อย่าง ที่เราต้องเตรียมเงินสดไว้จ่ายเพิ่มเองต่างหากค่ะ เช่น
- ค่ามัดจำ/ค่าเช่าที่ล่วงหน้า : แฟรนไชส์เขาไม่ได้จ่ายให้เรานะคะ เราต้องเป็นคนหาทำเลเอง และจ่ายเงินก้อนนี้ (ซึ่งมักจะเท่ากับค่าเช่า 2-3 เดือน) ให้กับ "เจ้าของที่" เองต่างหากค่ะ
- ค่าตกแต่งร้าน และค่าชั้นวางของ : นี่คือ "จุดที่ต้องถามให้ชัด" เลยค่ะ! ต้องถามแฟรนไชส์เลยว่า "ราคานี้รวมชั้นวางของรึยัง?"
แถมต่อให้เราเป็นคนจ่ายเงินซื้อชั้นวางเอง เราก็ "เลือกแบบตามใจชอบไม่ได้" นะคะเพื่อนๆ ทางแฟรนไชส์เขาจะมี "แบบมาตรฐาน" บังคับมาเป๊ะๆ ว่าต้องใช้ชั้นวางหน้าตาแบบนี้ สีนี้ วางแบบนี้เท่านั้น เพื่อคุมภาพลักษณ์แบรนด์เขาค่ะ ด้วยเหตุนี้ ค่าใช้จ่ายในการลงทุนเปิดร้านทุกอย่าง 20 บาทแบบซื้อแฟรนไชส์จึงกว้างมากๆ ค่ะ โดยสามารถอยู่ที่ 250,000-700,000 บาทได้เลยค่ะ
เปิดร้านยังไงให้คุ้มทุน? ลองคำนวณให้เห็นภาพ
คำถามต่อมาคือ "เปิดร้านทุกอย่าง 20 บาทเมื่อไรจะคืนทุน?" หรือ "ต้องขายได้วันละกี่ชิ้นถึงจะรอด?"ดังนั้น มาลองคำนวณ "จุดคุ้มทุน" (Break-Even Point) แบบง่ายๆ ให้เห็นภาพกันนะคะ จะได้รู้ว่าเราต้องขายของให้ได้วันละกี่ชิ้นถึงจะ "เท่าทุน"
สมมติฐานแบบง่ายๆ ดังนี้ค่ะ
วิธีคิดจุดคุ้มทุน (ว่าต้องขายกี่ชิ้นถึงจะรอด) :
สูตรง่ายๆ คือ : เอา ค่าใช้จ่ายคงที่รวม (ข้อ 1) หารด้วย กำไรต่อชิ้น (ข้อ 2)
ยังไม่จบค่ะ เราต้องรู้ว่า "ต่อวัน" ต้องขายกี่ชิ้น
จากตัวอย่างข้างต้น หมายความว่าเพื่อนๆ ต้องขายของให้ได้ วันละ 214 ชิ้น ทุกวัน ไม่มีวันหยุด เพื่อให้มีเงินพอจ่ายค่าเช่า ค่าน้ำค่าไฟ และค่าแรงพนักงานค่ะ ถ้าวันไหนขายได้ 215 ชิ้น ชิ้นที่ 215 นั่นแหละ คือ "กำไร" 5 บาทแรกของเพื่อนๆ ค่ะ
อย่างไรก็ดี ถ้าทำเลเราดี คนเดินเยอะ วันนึงขายได้ 300-400 ชิ้น ส่วนต่างตรงนั้นแหละคือกำไรที่เราจะเก็บไว้หมุนต่อ หรือเก็บเข้ากระเป๋าค่ะ แต่ถ้าวันไหนขายได้แค่ 100 ชิ้น วันนั้นเราก็ "เข้าเนื้อ" หรือขาดทุนนั่นเองค่ะ
ทีนี้ เพื่อนๆ คงเห็นแล้วว่าการเปิดร้านทุกอย่าง 20 บาทเป็น "เกมของคนขยัน" และ "เกมของการบริหารต้นทุน" ค่ะ ดังนั้น ถ้าอยากให้ร้าน 20 บาทของเราอยู่รอดและมีกำไรโตขึ้นเรื่อยๆ ก็ต้องรู้จักปรับใช้กลยุทธ์ให้เหมาะสมค่ะ
- หน้าตลาดนัด หรือในโซนตลาดสด : คนมาจับจ่ายซื้อของกินของใช้ทุกวัน เห็นร้านเราก็แวะง่ายค่ะ
- หน้าโรงงาน โซนหอพักคนงาน หรือย่านนิคมอุตสาหกรรม : นี่คือกลุ่มเป้าหมายหลักเลยค่ะ เลิกงานมาแวะซื้อของใช้เล็กๆ น้อยๆ กลับห้องพัก
- ในชุมชนใหญ่ๆ ที่คนอยู่กันหนาแน่น : เช่น ปากซอยใหญ่ๆ หรือหน้าหมู่บ้านเอื้ออาทร
- หน้าโรงเรียน หรือใกล้มหาวิทยาลัย : (ถ้าค่าเช่าไม่โหดไป) นักเรียนนักศึกษาก็ชอบของจุกจิกน่ารักๆ ราคาประหยัดค่ะ
จำไว้นะคะ ร้านทุกอย่าง 20 บาทไม่ใช่ร้านที่คนจะ "ตั้งใจขับรถไกลๆ" มาซื้อค่ะ แต่เป็นร้านที่ "เดินผ่านแล้วแวะ เลยได้ของติดมือ" ค่ะ ค่าเช่าอาจจะแพงกว่าที่ลับตาคนหน่อย แต่ถ้าคนเดินเยอะกว่า 3-4 เท่า ยังไงก็คุ้มกว่าแน่นอนค่ะ!
- ของจำเป็น (เช่น ไม้กวาด, น้ำยาล้างจาน, ถุงขยะ) ให้เอาไว้โซนด้านในสุดค่ะ บังคับให้ลูกค้าเดินผ่านของอื่น ๆ ก่อน
- ของจุกจิก (เช่น กิ๊บติดผม, ของเล่น, ของน่ารักๆ) ให้ไว้ใกล้ๆ เคาน์เตอร์คิดเงินค่ะ ตอนลูกค้ายืนรอคิว เขาจะเผลอหยิบเพิ่มเอง
- จัดของเป็นหมวดหมู่ เช่น โซนเครื่องครัว, โซนทำความสะอาด, โซนเครื่องเขียน ให้ชัดเจน ลูกค้าหาง่าย และอาจจะหยิบของที่เกี่ยวข้องกันเพิ่มค่ะ (เช่น ซื้อที่ตากผ้า อาจจะหยิบไม้แขวนเสื้อด้วย)
- โซน 10 บาท : ของชิ้นเล็กๆ ที่ต้นทุนต่ำมาก (เช่น ยางรัดผม, ตะขอแขวน) เอาไว้ล่อใจให้หยิบง่ายๆ
- โซน 40-60 บาท : ของที่ดูดีมีคุณภาพขึ้นมาหน่อย (เช่น กล่องพลาสติกใหญ่ๆ, ชั้นวางของเล็กๆ) ของพวกนี้กำไรต่อชิ้นจะสูงกว่า 20 บาทค่ะ พอคนเข้าร้านมาเพราะของ 20 บาทแล้ว เขาอาจจะเจอของ 60 บาทที่ถูกใจและซื้อกลับไปด้วยค่ะ
ถึงตรงนี้คงสรุปได้ว่าร้านทุกอย่าง 20 บาทเป็นธุรกิจที่ “น่าลงทุน” สำหรับคนขยันและใส่ใจในรายละเอียดค่ะ โดยไม่ใช่ธุรกิจที่จะทำให้รวยเร็วในข้ามคืน หรือเปิดร้านแล้วนั่งเฉยๆ รอรับเงินนะคะ แต่เป็นธุรกิจที่ “กินได้เรื่อย ๆ” สร้างรายได้ที่มั่นคงได้ถ้าเราบริหารจัดการเป็นค่ะ
นี่คือการ “ขายของที่มีกำไรต่อชิ้นน้อย แต่เน้นขายจำนวนเยอะๆ เพื่อกำไรที่มากขึ้น” โดยอาศัยวินัยในการควบคุมต้นทุน (ต้องหาของถูกให้เจอ) และการจัดการสต๊อกสินค้า (ซื้อมาแล้วต้องขายออกให้ไว ทุนจะได้ไม่จมนาน) เป็นสำคัญค่ะ ดังนั้น ถ้าเพื่อนๆ เป็นคนใจสู้ ไม่กลัวเหนื่อย ชอบค้าขาย และมีทำเลดีๆ อยู่ในมือ ธุรกิจนี้ก็น่าสนใจมากๆ ค่ะ
หลายคนอ่านมาถึงตรงนี้แล้วคงเริ่มเห็นภาพชัดเลยว่า “ร้านทุกอย่าง 20 บาท” เป็นธุรกิจที่พอไปได้จริงๆ แค่ต้องมีเงินก้อนแรกไว้สต๊อกของ ตกแต่งร้าน และจ่ายค่าเช่าล่วงหน้า แต่ปัญหาคือ เงินก้อนนี้แหละค่ะที่ทำให้หลายคนต้องพับฝันเก็บไว้ก่อน แต่ไม่ต้องห่วงนะคะ เพราะถ้าเพื่อนๆ ที่มีทรัพย์สินอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นโฉนดที่ดิน, เล่มทะเบียนรถยนต์, หรือเล่มทะเบียนรถมอเตอร์ไซค์ ของเหล่านี้สามารถจำนำได้ เพื่อให้เพื่อนๆมี “เงินทุนตั้งร้าน”โดยที่ยังสามารถใช้ประโยชน์จากที่ดินหรือรถได้ตามปกติเลยค่ะ
✅ อนุมัติไว รับเงินก้อนทันใจ ไปต่อยอดธุรกิจได้ทันที
✅ ให้วงเงินสูง เพียงพอสำหรับเริ่มต้นธุรกิจ
✅ รถยังมีขับ ที่ดินยังมีใช้เหมือนเดิม ไม่กระทบชีวิตประจำวัน
✅ ดอกเบี้ยเป็นธรรม ผ่อนสบาย ช่วยให้บริหารเงินหมุนเวียนง่ายขึ้น
✅ ไม่ต้องมีคนค้ำ สมัครง่าย มีสาขาใกล้บ้านทั่วประเทศ
สนใจสมัครสินเชื่อจํานําโฉนดที่ดิน สินเชื่อจำนำรถยนต์ หรือสินเชื่อมอเตอร์ไซค์ ลองแวะไปสอบถามรายล ะเอียดได้ที่สาขาเงินเทอร์โบใกล้บ้าน หรือกรอกข้อมูลสมัครด้านล่างนี้ได้เลยค่ะ
กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว อัตราดอกเบี้ย 15% - 24% ต่อปี
*เงื่อนไขและการพิจารณาสินเชื่อเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด