เป็นหนี้เท่าไรเสี่ยงโดนยึดทรัพย์? รู้ไว้ไม่ติดกับดักหนี้
การเงิน

เป็นหนี้เท่าไรเสี่ยงโดนยึดทรัพย์ ถ้าไม่อยากโดนต้องทำยังไง?

เชื่อว่าเพื่อนๆ หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า “เป็นหนี้จนโดนยึดทรัพย์” มาบ้างใช่ไหมคะ? ฟังแล้วดูน่ากลัวเนอะ ยิ่งถ้าเราเป็นคนหาเช้ากินค่ำ หรือมีภาระค่าใช้จ่ายเยอะแยะ ก็ยิ่งกังวลว่าวันนึงจะเป็นแบบนั้นบ้างหรือเปล่า ดังนั้น บทความนี้จะพาเพื่อนๆ ไปทำความเข้าใจให้ชัดๆ ว่าเป็นหนี้เท่าไรถึงเสี่ยงโดนยึดทรัพย์ รวมถึงหนี้แบบไหนเสี่ยงโดนฟ้อง และมีทางไหนที่พอจะเลี่ยงกับดักนี้ได้บ้าง

เป็นหนี้แค่ไหนถึงจะโดนฟ้อง?

มาเริ่มกันที่คำถามแรกที่หลายคนสงสัยกันก่อนเลยนะคะ ว่า “ต้องเป็นหนี้เท่าไรถึงจะโดนฟ้อง?” หรือ “ติดหนี้เท่าไรถึงฟ้องได้” คำตอบคือเรื่องของ “ยอดหนี้” ที่จะโดนฟ้องนั้นไม่มีตัวเลขตายตัวหรอกค่ะ แต่ขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละธนาคารหรือสถาบันการเงิน โดยส่วนใหญ่จะไม่ขึ้นอยู่กับยอดหนี้ แต่จะเป็นเรื่องของการ “ขาดชำระ” มากกว่าที่จะนำไปสู่การฟ้อง เช่นหากเพื่อนๆ ขาดส่งมานานมากๆ จนเข้าข่ายว่าไม่จ่ายแน่ๆ ก็มีโอกาสที่จะโดนฟ้องได้ค่ะ

สำหรับ หนี้บัตรเครดิต หรือ หนี้สินเชื่อส่วนบุคคล ที่เพื่อนๆ เซ็นสัญญาไว้ตั้งแต่ตอนสมัคร ถ้ามีการผิดนัดจ่ายขั้นต่ำติดต่อกันเกิน 3 เดือน (หรือประมาณ 90 วัน) หนี้ก้อนนั้นจะถูกจัดว่าเป็น “หนี้เสีย” หรือที่เรียกกันว่า NPL (Non-Performing Loan) พอหนี้ของเรากลายเป็นหนี้เสียปุ๊บ ก็จะเริ่มเข้าสู่ขั้นตอน “ทวงหนี้ทางกฎหมาย” ทันทีค่ะ ซึ่งก็คือการฟ้องร้องต่อศาลนั่นเอง

แล้วถ้าโดนฟ้องแล้วจะโดนยึดทรัพย์ทันทีเลยไหม?

คำตอบคือ “ยังค่ะ!”

อย่าเพิ่งตกใจไปนะคะเพื่อนๆ การที่เราเป็นหนี้บัตรเครดิตและโดนฟ้องยึดทรัพย์เป็นแค่จุดเริ่มต้นของกระบวนการทางศาลเท่านั้น หลังจากเจ้าหนี้ยื่นฟ้องแล้ว ศาลจะส่ง “หมายศาล” มาให้เราที่บ้านตามที่อยู่ในทะเบียนบ้าน เพื่อให้เราไปขึ้นศาลเพื่อสู้คดีหรือเจรจาไกล่เกลี่ย ถ้าเราไม่ไปศาลตามนัด ศาลอาจจะพิพากษาให้เราแพ้คดีทันที แต่ถ้าเราไป ก็ยังมีโอกาสได้เจรจาต่อรองกับเจ้าหนี้ อาจจะได้ลดดอกเบี้ย หรือขยายเวลาผ่อนชำระออกไปก็ได้ค่ะ

แต่ถ้าสุดท้ายแล้วศาลมีคำพิพากษาให้เราชำระหนี้ แล้วเรายังเพิกเฉย ไม่ยอมจ่ายหนี้ตามที่ศาลสั่งอีก คราวนี้แหละค่ะ เจ้าหนี้ถึงจะมีสิทธิ์ไปที่ “กรมบังคับคดี” เพื่อขอให้ ดำเนินการ “ยึดทรัพย์” หรือ “อายัดสิทธิเรียกร้อง” ของเราเพื่อนำไปขายทอดตลาดใช้หนี้ต่อไป กระบวนการทั้งหมดนี้ใช้เวลาพอสมควร ไม่ใช่ว่าเป็นหนี้บัตรเครดิตปุ๊บแล้วจะโดนฟ้องยึดทรัพย์ในวันพรุ่งนี้เลยนะคะ

อะไรบ้างที่โดนยึดทรัพย์ได้?

เมื่อรู้แล้วว่าเป็นหนี้บัตรเครดิตหรือสินเชื่อส่วนบุคคลเท่าไรถึงโดนฟ้อง เรื่องต่อมาที่ควรรู้คือเรื่องของการยึดทรัพย์ หลายคนอาจจะนึกถึงภาพเจ้าหน้าที่มาขนของออกจากบ้าน แต่ความจริงแล้วมีมากกว่านั้นค่ะ ทรัพย์สินที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาสามารถขอให้กรมบังคับคดียึดหรืออายัดได้มีหลายอย่างเลยค่ะ หลักๆ มีดังนี้

  • เงินฝากในบัญชีธนาคาร: อันนี้โดนก่อนเพื่อนเลยค่ะ กรมบังคับคดีสามารถอายัดเงินในบัญชีธนาคารที่เป็นชื่อของเราได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะบัญชีออมทรัพย์หรือฝากประจำ
  • เงินเดือน หรือรายได้อื่นๆ: สำหรับเพื่อนๆ ที่เป็นพนักงานบริษัทเอกชน ต้องรู้กฎหมายข้อนี้ไว้เลยนะคะ
  • ถ้าเงินเดือน ไม่ถึง 20,000 บาท กฎหมายคุ้มครอง อายัดไม่ได้ ค่ะ
  • ถ้าเงินเดือน เกิน 20,000 บาท จะถูกอายัดได้เฉพาะส่วนที่เกิน 20,000 บาทขึ้นไป และอายัดได้ ไม่เกิน 30% ของเงินเดือนส่วนนั้น แต่เมื่อหักอายัดแล้ว เพื่อนๆ ต้องมีเงินเดือนเหลือใช้ไม่ต่ำกว่า 20,000 บาทค่ะ อย่างไรก็ตาม ศาลไม่สามารถสั่งอายัดเงินเดือนข้าราชการได้ค่ะ
  • เงินโบนัส: อายัดได้ ไม่เกิน 50%
  • ค่าตอบแทนและเงินสงเคราะห์ตามสวัสดิการ: อายัดได้ ไม่เกิน 30%
  • เงินตอบแทนกรณีออกจากงาน: สามารถอายัดได้โดยต้องเหลือให้ลูกหนี้ไม่น้อยกว่า 300,000 บาทค่ะ

ทรัพย์สินมีค่าอื่นๆ:

  • บ้าน ที่ดิน หรือคอนโด: แม้จะยังผ่อนอยู่ แต่ถ้าเป็นชื่อของเรา เจ้าหนี้ก็สามารถยึดไปขายทอดตลาดได้นะคะ โดยเงินที่ได้จะถูกนำไปจ่ายให้เจ้าหนี้ก่อน ส่วนที่เหลือ (ถ้ามี) ถึงจะคืนให้เรา
  • รถยนต์ รถมอเตอร์ไซค์: ถ้ารถปลอดภาระแล้ว และไม่ได้เป็นเครื่องมือประกอบอาชีพ ก็สามารถถูกยึดได้ค่ะ
  • ทรัพย์สินอื่นๆ: เช่น ทองคำ,ของสะสมมีค่า ที่มีมูลค่ารวมเกิน100,000 บาท สามารถยึดได้ค่ะ
  • หน่วยลงทุน: เช่นหุ้นในตลาดหลักทรัพย์, กองทุนรวม, ตราสารหนี้ ก็สามารถถูกยึดหรืออายัดได้ค่ะ (แต่ในทางปฏิบัติมักไม่ทำกันค่ะ เนื่องจากมีความยุ่งยากในการดำเนินการ)

แล้วมีอะไรที่ยึดไม่ได้บ้างไหม?

มีค่ะ! ถึงแม้การเป็นหนี้บัตรเครดิตหรือสินเชื่อส่วนบุคคลจะโดนฟ้องยึดทรัพย์ แต่กฎหมายก็ยังมีความเมตตาให้เราพอมีที่ยืนอยู่บ้าง โดยทรัพย์สินที่ไม่สามารถยึดได้ มีดังนี้ค่ะ

  • ของใช้ส่วนตัวในบ้านที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ เช่น เสื้อผ้า ที่นอน หม้อข้าว จานชาม รวมกันแล้วมูลค่าต้องไม่เกิน 20,000 บาท
  • เครื่องมือทำมาหากินที่จำเป็นในการประกอบอาชีพของเพื่อนๆ ที่มูลค่าไม่เกิน 100,000 บาท
  • เงินเดือนข้าราชการ และเงินบำเหน็จบำนาญ
  • เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD Fund)
  • เงินสงเคราะห์ต่างๆ เช่น เบี้ยคนพิการ เบี้ยผู้สูงอายุ

ทำยังไงไม่ให้หนี้บานปลายถึงขั้นโดนยึดทรัพย์?

อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว อย่าเพิ่งท้อใจนะคะเพื่อนๆ การถูกยึดทรัพย์คือปลายทางของปัญหาที่เราสามารถป้องกันได้ค่ะ ถ้าวันนี้เรารู้ตัวว่าเริ่มจะผ่อนไม่ไหวแล้ว อย่าปล่อยให้ปัญหาลุกลามเด็ดขาด แต่ให้ลงมือทำ 4 ข้อนี้ทันทีค่ะ

1. โทรไปเจรจากับเจ้าหนี้: นี่คือสิ่งแรกที่ต้องทำเลยค่ะ! อย่าหนี อย่าซ่อน อย่าไม่รับโทรศัพท์ การที่เราเงียบไปจะทำให้เจ้าหนี้คิดว่าเราตั้งใจจะเบี้ยวหนี้ แต่ถ้าเพื่อนๆ โทรไปคุยกับเขาตรงๆ แจ้งปัญหาของเราอย่างจริงใจ เช่น "พี่คะ ตอนนี้หมุนเงินไม่ทันจริงๆ ขอปรับโครงสร้างหนี้ได้ไหม?" หรือ "ขอพักชำระเงินต้นไปก่อนสัก 3 เดือนได้ไหมคะ?" จะเป็นการแสดงถึงความรับผิดชอบและตั้งใจจะจ่ายคืน สถาบันการเงินส่วนใหญ่มีทางออกให้เสมอค่ะ เช่น การปรับลดค่างวด, ขยายเวลาผ่อน, หรือพักชำระหนี้ชั่วคราว การเจรจาตั้งแต่เนิ่นๆ คือทางรอดที่ดีที่สุดค่ะ

2. รวมหนี้ไว้ที่เดียว: ถ้าเพื่อนๆ มีหนี้บัตรเครดิตหลายใบ หรือมีสินเชื่อส่วนบุคคลหลายก้อนจนงงไปหมด จ่ายที่นั่นโปะที่นี่จนสับสน ลองมองหา “สินเชื่อเพื่อรวมหนี้” ดูนะคะ ซึ่งเป็นการที่เราไปขอสินเชื่อก้อนใหม่จากสถาบันการเงินแห่งเดียว ที่ให้ดอกเบี้ยถูกกว่าหนี้เดิมๆ ของเรา แล้วนำเงินก้อนนั้นมาปิดหนี้ทุกก้อนให้หมด ทีนี้เราก็จะเหลือหนี้แค่ก้อนเดียว เจ้าหนี้เดียว ทำให้จัดการง่ายขึ้น ค่างวดต่อเดือนอาจจะลดลง และมีโอกาสได้ดอกเบี้ยที่ถูกลงด้วยค่ะ

3. จัดการรายรับรายจ่ายให้เป๊ะ!: ถึงเวลาที่เราต้องกลับมาดูสมุดบัญชีของตัวเองอย่างจริงจังแล้วค่ะเพื่อนๆ ลองทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายง่ายๆ ดูว่าในแต่ละเดือน เงินของเราหายไปไหนบ้าง? ตัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นออกไปก่อน อะไรที่ฟุ่มเฟือย เช่น ชาไข่มุกทุกวัน, บุฟเฟต์ทุกสัปดาห์, หรือการช้อปปิ้งออนไลน์ อาจจะต้องพักไว้ก่อนนะคะ แล้วเอาเงินส่วนนั้นมาเก็บไว้เพื่อจ่ายหนี้แทน การมีวินัยทางการเงินในช่วงเวลาแบบนี้สำคัญที่สุดเลยค่ะ

4. หาทางเพิ่มรายได้ หรือขายทรัพย์บางส่วน: นอกจากการลดรายจ่ายแล้ว การเพิ่มรายได้ก็เป็นอีกทางที่จะช่วยให้เราผ่านวิกฤตนี้ไปได้ค่ะ ลองดูว่าเรามีความสามารถอะไรพอจะทำเป็นอาชีพเสริมได้บ้างหลังเลิกงานหรือในวันหยุด เช่น ขายของออนไลน์, รับจ้างพิมพ์งาน, หรือขับรถส่งอาหาร ทุกวันนี้มีช่องทางหารายได้เสริมเยอะมากค่ะ หรือถ้ามีทรัพย์สินบางอย่างที่ไม่ได้ใช้และพอมีราคา ก็อาจจะลองเปลี่ยนเป็นเงินสดเพื่อนำมาโปะหนี้ก้อนที่ดอกเบี้ยสูงๆ ก่อน ก็จะช่วยแบ่งเบาภาระไปได้เยอะเลยค่ะ

เปลี่ยนรถคู่ใจเป็นเงินก้อน กับเงินเทอร์โบ

ถึงแม้จะรู้แล้วว่าเป็นหนี้เท่าไรเสี่ยงโดนยึดทรัพย์ แต่เพื่อนๆ หลายคนก็อาจกำลังคิดหนักว่าจะหาเงินด่วนจากที่ไหน มาจัดการหนี้สินให้คลี่คลายก่อนที่เรื่องจะบานปลาย โดยหนึ่งในทางออกที่บทความได้แนะนำไปคือการเพิ่มรายได้หรือขายทรัพย์สินบางส่วน แต่ถ้าทรัพย์สินชิ้นนั้นคือ ‘รถ’ ที่ยังต้องใช้ทำมาหากินทุกวัน การขายไปอาจจะยิ่งทำให้สถานการณ์ลำบากกว่าเดิม

แต่เพื่อนๆ รู้ไหมคะว่าเราไม่จำเป็นต้องขายรถเสมอไป แต่สามารถเปลี่ยนรถที่ขับอยู่ให้เป็นเงินก้อนฉุกเฉินเพื่อมาต่อชีวิตทางการเงินของเราได้ค่ะ โดยที่เงินเทอร์โบ เราเข้าใจปัญหานี้ดีและพร้อมอยู่เคียงข้างเพื่อนๆ เราจึงมีสินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ ที่เปรียบเสมือนทางออกสำหรับคนที่ต้องการเงินก้อนมาเคลียร์หนี้สินต่างๆ หรือเสริมสภาพคล่องให้ชีวิตเดินต่อไปได้ โดยที่รถก็ยังอยู่กับเราเหมือนเดิม ไม่กระทบกับการใช้ชีวิตประจำวันเลยค่ะ

✅ สมัครง่าย ไม่ต้องใช้คนค้ำประกัน

✅ ไม่ต้องใช้สลิปเงินเดือนก็สามารถยื่นเรื่องได้

✅ ดอกเบี้ยเป็นธรรม เริ่มต้น 0.68%* ต่อเดือน

✅ อนุมัติไว ได้เงินเร็ว

เลือกประเภทสินเชื่อได้เลย!
การกดส่งข้อมูล แสดงว่าคุณอ่านและรับทราบ
นโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เรียบร้อยแล้ว

กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว อัตราดอกเบี้ย 15% - 24% ต่อปี
*เงื่อนไขและการพิจารณาสินเชื่อเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด